ที่จังหวัดนครปฐมนางสาวธนนันท์ ศรีสุวะ เกษตรจังหวัดนครปฐม มอบหมายให้เจ้าหน้าที่สำนักงานเกษตรจังหวัดนครปฐม และเจ้าหน้าที่สำนักงานเกษตรอำเภอบางเลน เดินหน้าติดตามผลการดำเนินงานการส่งเสริมการย่อยสลายฟางแทนการเผาในพื้นที่การเกษตร และเร่งขยายผลในพื้นที่อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม    จากการส่งเสริมให้เกษตรกรงดเผาในพื้นที่การทำนา โดยกระบวนการทำงานร่วมกับเกษตรกรอย่างใกล้ชิด เพื่อเข้าใจถึงปัญหา และการหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน จนกระทั่งเกษตรกรต้นแบบ นายไชยยา วิมูลชาติ กลุ่มนาแปลงใหญ่ข้าวไผ่หูช้าง สามารถใช้จุลินทรีย์ย่อยสลายฟางทดแทนทดแทนการเผาได้ 100% ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 จนถึงปัจจุบัน    

นายไชยยา วิมูลชาติ หนึ่งในเกษตรกรกลุ่มนาแปลงใหญ่ข้าวไผ่หูช้าง ตำบลไผ่หูช้าง อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม กล่าวว่า แรกๆ ก็เป็นเกษตรกรคนหนึ่งที่ใช้วิธีการเผา ในการจัดการฟางข้าว ก่อนจะเริ่มต้นฤดูกาลทำนารอบต่อไป จากนั้นได้มีเจ้าหน้าที่กรมส่งเสริมการเกษตรเข้ามาให้คำแนะนำ ซึ่งผมก็ได้เล่าถึงปัญหาจริงๆ พร้อมกับมีใจที่จะปรับเปลี่ยน เพราะเล็งเห็นถึงการเผาฟาง สร้างมลพิษ ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ส่งผลให้ตนเอง และลูกหลาน ได้รับสภาพอากาศที่เป็นพิษ จึงตัดสินใจทดลองร่วมกับกรมส่งเสริมการเกษตร และหน่วยงานอื่นๆ จนได้แนวทางที่เหมาะสมที่สุดกับพื้นที่และพฤติกรรมของเกษตรกรในบริเวณนี้ ก็คือ การใช้จุลินทรีย์ย่อยสลายต่อซัง ให้เกษตรกรพัก 7-10 วัน รอกระบวนย่อย ก่อนเริ่มทำนารอบใหม่ โดยสูตรน้ำหมักจุลินทรีย์ย่อยสลายฟาง

โดยเกษตรกรแนะนำใช้วิธีแรก จะช่วยประหยัดเวลาและลดการจ้างแรงงานในการฉีดพ่นเกษตรกรยังกล่าวอีกว่า หลังจากหยุดเผาแล้ว ผลดีที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด คือเรื่องของดิน ดินในนามีลักษณะร่วนซุย หลังจากปลูกข้าวแล้ว ข้าวเจริญเติบโตดี แข็งแรง เป็นเพราะได้รับธาตุอาหารจากอินทรีย์วัตถุที่ย่อยสลายฟางแล้ว ส่วนผลผลิตที่ได้มีคุณภาพดี มีความหอม และความนุ่ม จนผู้บริโภคเอ่ยชม แต่ที่สำคัญที่สุดคือผมและสมาชิกในกลุ่มเป็นส่วนหนึ่งที่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม เป็นจุดเล็กๆ ที่เริ่มต้นที่จะเปลี่ยนแปลง จะได้คืนอากาศบริสุทธิ์ให้ลูกหลานในพื้นที่

ปัจจุบัน เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการขยายผลจากเกษตรกร 1 กลุ่ม ในตำบลไผ่หูช้าง ไปสู่ ตำบลบัวปากท่า ตำบลนิลเพชร ตำบลบางไทรป่า และตำบลนราภิรมย์ ในพื้นที่อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม โดยเห็นถึงความสำคัญของการแก้ไขปัญหาหมอกควัน ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ และส่งผลกระทบต่อคุณสมบัติของดิน ทำให้ดินแน่นทึบ อัตราการซาบซึมน้ำต่ำ ปริมาณไนโตรเจนที่ผิวดินลดลง รวมไปความหลากหลายของจำนวนและชนิดจุลินทรีย์ลดลง ซึ่งจะเป็นผลเสียต่อการทำเกษตรของเกษตรกรในระยะยาวการปรับเปลี่ยนอาจจะไม่สะดวก 100% แต่ผลดีมีมากกว่า ก็คุ้มที่จะปรับเพื่อส่วนรวม

ภาพ/ข่าว กิตติพงษ์ จันทร์ละมูล ผู้สื่อข่าว จ.นครปฐม