จากกรณีเมื่อวันที่ 20 ธ.ค. 66 ที่ผ่านมาศาลจังหวัดมุกดาหาร นัดฟังคำพิพากษาในคดีพนักงานอัยการจังหวัดมุกดาหาร เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายไชย์พล วิภา หรือ “ลุงพล” และ น.ส.สมพร หลาบโพธิ์ หรือ “ป้าแต๋น” สองสามีภรรยา เป็นจำเลยที่ 1-2 กรณีการเสียชีวิตของ “น้องชมพู่”  โดยฟ้องนายไชย์พล จำเลยที่ 1 ในฐานความผิดฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนา, พรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล โดยปราศจากเหตุอันสมควร, ทอดทิ้งเด็กอายุยังไม่เกิน 9 ปีไว้ ณ ที่ใดเพื่อให้เด็กนั้นพ้นไปเสียจากตนโดยประการที่ทำให้เด็กนั้นปราศจากผู้ดูแลเป็นเหตุให้ผู้ถูกทอดทิ้งถึงแก่ความตาย, ร่วมกันกระทำการใดๆ แก่ศพ หรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพ ก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้นในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพหรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป ส่วน น.ส.สมพร จำเลยที่ 2 ตามความผิดฐาน “ร่วมกันกระทำการใดๆ แก่ศพ หรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น ในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพ หรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป     โดยศาลพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291 และ 317 วรรคแรก ฐานกระทำโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จำคุก 10 ปี ฐานพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากบิดามารดาปราศจากเหตุอันควร จำคุก 10 ปี ส่วนจำเลยที่ 2 ยกฟ้อง

ได้เดินทางไปสอบถามกรณีดังกล่าวกับทนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ทนายความชื่อดัง กล่าวว่า คดีลุงพลเป็นไปตามคาดการณ์เพราะผู้ที่ลงมาทำคดีนี้คือผู้บังคับบัญชาการตำรวจแห่งชาติ หากเอาผิดใครไม่ได้คงจะไม่ใช่ ตอนนี้ศาลลงโทษจำคุก อย่าล้อเล่นกับตำรวจ จากหลักฐานในคำพิพากษาเจ้าหน้าที่ตำรวจสงสัยว่าลุงพลเป็นบุคคลที่ทำให้น้องเสียชีวิต สาเหตุมาจากอะไร โดยที่ผ่านมาลุงพลโกหก ทั้งที่อยู่ เวลา ซึ่งข้อมูลตรงนี้สำคัญมาก เพราะเป็นช่วงเวลาที่น้องหายตัวไป จากจุดเริ่มต้นตรงนี้จึงได้มีการขยายผล โดยนำพยานเข้ามาสืบรวมถึงนิติวิทยาศาสตร์ที่เข้ามาพิสูจน์ จนนำไปสู่การลงโทษในศาลชั้นต้นไม่เกินความคาดหมาย เพราะคนทำคดีคือผบ.ตร. คงไม่ยอมให้เสียหน้าอย่างแน่นอน

ภาพ/ข่าว ฉัตรมงคล สิงห์โต ผู้สื่อข่าว จ.นนทบุรี