ญาติพาเหยื่อ รอง สวป.สภ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา เมาขับรถชนได้รับบาดเจ็บสาหัส 2 ราย เข้าร้องทุกข์ต่อ นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี โดยรายแรก น.ส.วารุณี ม่วงละออ อายุ 22 ปี สภาพได้รับบาดเจ็บกระดูกแขนขวาหัก กระดูกน่องขวาหัก ต้องดามเหล็กเอาไว้ ส่วนหน้าแข้งขาขวาจนถึงเท้ากระดูกแตกเป็นแผลเหวอะมีอาการติดเชื้อแพทย์ต้องตัดขาทิ้งตั้งแต่ใต้หัวเข่าลงไปกลายเป็นคนพิการ และนายณัฐวุฒิ อยู่ปราง อายุ 33 ปี สภาพได้รับบาดเจ็บ กระดูกต้นคอหัก กระดูกแขนขวาหัก กระดูกขาขวาหักต้องผ่าตัดใส่เหล็ก หลังหัก กรามหัก ซี่โครงหัก ยังต้องใส่เกราะพยุงตัว ปลอกดามคอ ยังนั่งนานไม่ได้จะปวดหลัง และยังต้องทานแต่อาหารเหลว ซึ่งผู้บาดเจ็บทั้งสองต้องมีสภาพที่ทุกข์ทนอยู่อย่างลำบากเพราะฐานะยากจน ทุกวันนี้ต้องกู้หนี้ยืมสินเพื่อมาเป็นค่าเดินทางไปโรงพยาบาลตามที่แพทย์นัด และค่าใช้จ่ายในการรักษาตัว ขณะที่รอง สวป.สภ.วังน้อย ผู้ก่อเหตุ เคยมีการเจรจากัน 1 ครั้งแต่ยังตกลงกันไม่ได้

สืบเนื่องจากวันที่ 4 ก.ค.66 ได้เกิดอุบัติเหตุรถกระบะชนรถจักรยานยนต์ 3 คัน มีผู้เสียชีวิต 2 ราย บาดเจ็บ 2 ราย บนถนนเลียบคลองระพีพัฒน์ หมายเลข อย.1043 ต.พยอม อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา โดยรถจักรยานยนต์ทั้ง 3 คัน ได้ขับขี่ตามกันมาในเส้นทาง คันแรกเป็นรถของน.ส.วารุณี ได้รับบาดเจ็บสาหัส, คันที่สองเป็นของ นายภูษิต งาตา อายุ 19 ปี (แฟนของน.ส.วารุณี) ได้รับบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตที่โรงพยาบาล และคันที่สามเป็นของสองสามีภรรยาคือ นายณัฐวุฒิ อยู่ปราง อายุ 33 ปี และน.ส.วันเพ็ญ แจ้งสว่าง อายุ 35 ปี ซึ่งนายณัฐวุฒิได้รับบาดเจ็บสาหัส ส่วนน.ส.วันเพ็ญ เสียชีวิตคาที่ หลังเกิดเหตุพนักงานสอบสวนสภ.วังน้อย ตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ ร.ต.ต.อัฑกร วังสะนา อายุ 53 ปี รอง สวป.สภ.วังน้อย คนขับรถกระบะคู่กรณีสูงถึง 130 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด

น.ส.วารุณี กล่าวว่า ผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตทั้ง 4 คน เป็นพนักงานแพ็คของที่คลังขนส่งพัสดุแห่งหนึ่ง หลังเลิกงานได้ขี่รถจักรยานยนต์ 3 คันตามกันมา และเห็นว่ามีรถกระบะขับส่ายไปมาก่อนจะพุ่งชนอย่างจังและลากรถจักรยานยนต์ไปไกลจนมีผู้บาดเจ็บสาหัส 2 ราย เสียชีวิต 2 ราย หนูต้องนอนโรงพยาบาลกว่า 1 เดือน สูญเสียขาไปเป็นคนพิการ ตอนนี้ก็ยังทำใจไม่ได้ ส่วนแฟนหนุ่มก็มาเสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ ที่ผ่านมาหนูใช้สิทธิบัตรทองในการรักษา แต่ก็มีส่วนเกินที่ต้องจ่ายเอง และมีค่าเดินทางที่ต้องวิ่งเข้าออกโรงพยาบาลตามที่แพทย์นัด พี่สาวต้องไปกู้ยืมเงินมาเพื่อช่วยเหลือหนู ครอบครัวก็ยากจนต้องลำบากมาก หลังเกิดเหตุคู่กรณีได้นำเงินมาให้ที่โรงพยาบาล 3 หมื่นบาท บอกว่าเป็นค่าเยียวยาเบื้องต้น และก็ไม่ได้มาเยี่ยมหรือมาดูหนูอีกเลย โทรไปก็บอกว่าอยู่ระหว่างหาเงินแต่ก็เงียบหายไป ตอนนี้ครอบครัวเดือดร้อนมากไม่รู้จะทำอย่างไร จึงมาร้องทุกข์มูลนิธิปวีณาฯ

ด้านนายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ทุกวันนี้ตนต้องอยู่อย่างลำบาก ยังช่วยเหลือตัวเองไม่ค่อยได้ ต้องมาสูญเสียภรรยาและอยู่ในสภาพแบบนี้เพราะคนที่เมาแล้วขับ ส่วนลูกสาว 9 ขวบ ก็ต้องมากำพร้าแม่ ยังไม่รู้ชีวิตจะเดินต่อไปยังไง หลังเกิดเหตุคู่กรณีนำเงินมาให้ที่โรงพยาบาล 2 หมื่นบาทแล้วก็หายไป ไม่มีการติดต่อมาอีกเลย ครอบครัวต้องอยู่อย่างลำบากเป็นหนี้เป็นสินค่าใช้จ่ายในการรักษาเดินทางไปโรงพยาบาล ก็อยากให้ รอง สวป.สภ.วังน้อย ผู้ก่อเหตุ มารับผิดชอบสิ่งที่ตัวเองก่อด้วย

หลังรับเรื่อง นางปวีณา ได้ประสาน พ.ต.อ.สมเจษฐ์ แม้นบุตร ผกก.สภ.วังน้อย ทราบว่า หลังเกิดเหตุ ร.ต.ต.อัฑกร ผู้ก่อเหตุ ได้เข้ามอบตัวไม่ได้หนีไปไหน พนักงานสอบสวนได้ดำเนินคดีข้อหา ขับรถในขณะเมาสุราเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และขับรถประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย มีผู้ได้รับอันตรายสาหัส และได้ทำสำนวนเสร็จแล้ว อยู่ระหว่างรอผลชันสูตรศพ ผลตรวจทางนิติวิทยาศาสตร์ ก่อนรวบรวมสำนวนส่งอัยการเพื่อสั่งฟ้อง และได้มีการส่งเรื่องของของผู้บาดเจ็บ 2 ราย และผู้เสียชีวิต 2 ราย ให้กับยุติธรรมจังหวัดแล้วเพื่อขอรับเงินเยียวยาผู้เสียหายทางคดี ยืนยันตำรวจทำเต็มที่และให้ความเป็นธรรมกับผู้เสียหายแน่นอน   

นางปวีณา กล่าวว่า เห็นใจ 2 ครอบครัวอย่างยิ่งที่ต้องสูญเสียคนในครอบครัวที่เป็นเสาหลัก และคนเจ็บยังอยู่ในอาการสาหัสต้องรักษาตัว ไม่สามารถทำงานหาเลี้ยงชีพได้ ทั้งนี้จะติดตามเงินเยียวยาผู้เสียหายทางคดีกับทางกรมคุ้มครองสิทธิ กระทรวงยุติธรรม คาดว่าผู้เสียชีวิตจะได้เงินเยียวยา 110,000 บาท และผู้บาดเจ็บจะได้เงินเยียวยา 50,000 บาท และจะประสานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จ.พระนครศรีอยุธยา และสุพรรณบุรี ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านทั้ง 2 ครอบครัวเพื่อช่วยเหลือบรรเทาความทุกข์ร้อน และวันนี้มูลนิธิปวีณาฯ ได้มอบเงินช่วยเหลือครอบครัวละ 5,000 บาท สำหรับด้านคดีได้ประสาน พ.ต.อ.สมเจษฐ์ แม้นบุตร ผกก.สภ.วังน้อย ทราบว่าคดีคืบหน้าไปมาก และจะเร่งส่งสำนวนให้อัยการพิจารณาสั่งฟ้องโดยเร็ว

นางปวีณา กล่าวเตือนพวกนักดื่มและฝากไว้เป็นอุทาหรณ์ ขอให้มีความรับผิดชอบต่อสังคม ถ้าดื่มแล้วอย่าขับ เนื่องจากจะทำให้ไม่มีสติในการขับรถ ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรง เกิดความเสียหายทั้งต่อตนเองและผู้อื่น ทำให้เกิดความสูญเสียถึงขั้นมีผู้เสียชีวิต และบางคนต้องอยู่ในสภาพพิการไปตลอดชีวิต ซึ่งผู้ที่เมาขับก็อาจจะแค่ถูกดำเนินคดี แต่สำหรับผู้ที่ต้องสูญเสียไม่มีอะไรมาทดแทนได้ ครอบครัวเขาเหล่านั้นต้องอยู่อย่างลำบาก

ภาพ-ข่าว THAIREFERENCE