นางสาวตรีนุช ได้กล่าวทักทายพี่น้องประชาชน หลังจากก่อนหน้านี้ต้องไปร่วมเปิดเวทีปราศรัยใหญ่ร่วมกับพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่จังหวัดฉะเชิงเทราเมื่อเย็นวานนี้  นางสาวตรีนุช ได้กล่าวถึงนโยบายที่ช่วยเหลือเกษตรกรได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึง หากพรรคพลังประชารัฐได้เป็นรัฐบาลในการเลือกตั้งครั้งนี้ คือ นโยบายเพิ่มวงเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็น 700 บาท รวมทั้งยังมีออฟชั่นเสริมคือเพิ่มเบี้ยประกันชีวิต 200,000 บาท รวมถึงเพิ่มวงเงินหมุนเวียน 50,000 บาทสำหรับผู้ถือบัตร ขณะที่นโยบายเพิ่มเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 60 -70 และ 80 ปี ยังเรียกเสียงฮือฮาให้กับคนรากหญ้า แต่ที่โดนใจมวลชนมากที่สุด คือ นโยบายลดราคาน้ำมันเบนซิน เหลือลิตรละ 26 บาท น้ำมันดีเซลเหลือลิตรละ 25 บาท รวมไปถึงแก๊สหุงต้มในครัวเรือนอีกด้วย

น.ส.ตรีนุช กล่าวด้วยว่า ตนได้รับคะแนนเสียงจนเติบโตเป็นที่พึ่งพาของพี่น้องประชาชนได้ ตนซึ่งได้ไปดำรงตำแหน่งเป็น รมว. ศึกษาธิการ หญิงคนแรก พอเข้าไปทำงานได้ 2 ปี ก็เกิดวิกฤตโควิด พวกเราก็จะมาเจอหน้า เจอตาพี่น้อง ก็ยังไม่ได้ ทำอย่างไร จะให้ลูกหลาน ของเราได้รับการดูแล ในเรื่องวัคซีน ให้กับครูและเด็กๆ การเปิดภาคเรียน การเปิดโรงเรียน ซึ่งที่ผ่านมา เราเจอสถานการณ์ ที่ยากลำบาก ค่าใช้จ่ายในการดูแลบุตรหลาน จึงเร่ง และเสนอให้มีการช่วยเหลือครอบครัวเด็กนักเรียน 11 ล้านคน คนละ 2,000 บาททั่วประเทศ ส่วนการจัดการ เรื่องการศึกษา จ.สระแก้ว ถือเป็นจังหวัดชายแดนที่มีโรงเรียนกว่า 300 โรงเรียน จาก 30,000 โรงเรียนทั่วประเทศ จึง ริเริ่มโครงการพัฒนาด้านการศึกษาไปสู่ความเป็นเลิศด้านวิทย์-คณิต ซึ่ง จ.สระแก้ว ก็มีโรงเรียนจุฬาภรณ์ 1 ใน 18 แห่งทั่วประเทศด้วย รวมถึงโรงเรียนประจำศูนย์ศึกษาสงเคราะห์ เพื่อรับน้อง ๆ กลุ่มเปราะบางด้วย และวันนี้ในส่วนโครงการอาหารกลางวันที่เคยได้รับ วันละ 21 บาท/หัว ทั้งกลุ่มโรงเรียนขนาดเล็กและใหญ่ จึงเร่งผลักดันให้เพิ่มค่าอาหารกลางวันเด็กเป็น 36 บาท รวมไปถึงการเพิ่มค่าใช้จ่ายเงินอุดหนุนรายหัว ของนักเรียน เพื่อเพิ่มคุณภาพการศึกษาของบุตรหลานในอนาคต เป็นต้น พร้อมยืนยันในเรื่องของการทำงานที่โปร่งใสและไม่เคยถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ในสภาผู้แทนราษฎรเลย และพร้อมจะดูแลพี่น้อง “ก่อนเดินทางกลับ อดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปอุ้มสาวน้อย ลูกหลานคน จังหวัด สระแก้ว…

ภาพ-ข่าว นายยุทธนา พึ่งน้อย ผู้สื่อข่าวจังหวัดสระแก้ว