ที่บ้านพะนอคี หมู่ที่ 9 ตำบลห้วยโป่ง อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน นายสุริยะ คำปวง รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เป็นประธานการเปิดโครงการส่งเสริมและสร้างการรับรู้การผลิตกาแฟภาคเหนือตลอดห่วงโซ่อุปทาน “เพาะรักษ์ เพาะกล้า กาแฟดี ที่แม่ฮ่องสอน” ซึ่งจัดขึ้นโดยสำนักงานเกษตรจังหวัดแม่ฮ่องสอนและมีทั้งชุมชนและกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟจากพื้นที่ต่างๆ ของภาคเหนือ เข้าร่วมงานและร่วมเสวนาของเวทีการแลกเปลี่ยนความรู้จากผู้ผลิต ผู้บริโภค รวมถึงนักดื่มกาแฟมืออาชีพ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ผลิตและปลูกกาแฟรุ่นใหม่ที่เป็นชาวกะเหรี่ยงของหมู่บ้านพะนอคีในนามของ Young Smart Farmer ที่ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตจากเกษตรกรชาวไร่ชาวนา หันมาให้ความสนใจการปลูกกาแฟในร่มเงาของธรรมชาติบนดอยสูงชันเหนือจากระดับน้ำไม่น้อยกว่า 700 เมตรขึ้นไป ที่พบว่าสร้างรายได้มากกว่าอาชีพดั้งเดิม


นายสุริยะ คำปวง รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เปิดเผยว่า ภาคเหนือตอนบนของประเทศไทยมีการปลูกกาแฟพันธุ์อะราบิกามาอย่างยาวนาน เนื่องจากพื้นที มีความเหมาะต่อการเจริญเติบโตและคุณภาพของกาแฟ โดยมีสภาพภูมิอากาศเย็น และสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณตั้งแต่ 700 เมตร ขึ้นทำให้สามารถผลิตกาแฟคุณภาพได้เป็นอย่างดี แต่สถานการณ์การผลิตและความต้องการใช้เมล็ดกาแฟของไทยในปัจจุบัน ข้อมูลการผลิตกาแฟ ปี 2567/68 พบว่ามีพื้นที่ให้ผลผลิตกาแฟ 176,493 ไร่ โดยมีผลผลิตรวมอยู่ที่ 14,665 ตัน แต่ความต้องการใช้เมล็ดกาแฟในในประเทศไทยคิดเป็นร้อยละ 15.15 ของความต้องการใช้ จึงต้องมีการส่งเสริมการปลูกกาแฟ เพื่อให้สอดคล้องกับอุปสงค์อุปทานในพื้นที่ รองรับความต้องการการบริโภคกาแฟที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และทดแทนการนำเข้ากาแฟจากต่างประเทศ ซึ่งจังหวัดแม่ฮ่องสอนเป็นจังหวัดที่มีพื้นที่เหมาะสมในการผลิตกาแฟพันธุ์อะราบิกา จึงได้รับคัดเลือกให้เข้าร่วมโครงการส่งเสริมการผลิตกาแฟภาคเหนือตลอดห่วงโซ่อุปทาน โดยมีแผนในการขยายพื้นที่ปลูกกาแฟเพิ่มขึ้น จำนวน 1,500 ไร่ ภายในปี พ.ศ.2570 ซึ่งกรมส่งเสริมการเกษตรสนับสนุนต้นกล้ากาแฟ จำนวน 200,000 ต้น ให้แก่เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการการจัด โครงการส่งเสริมและสร้างการรับรู้การผลิตกาแฟภาคเหนือตลอดห่วงโซ่อุปทาน “เพาะรักษ์ เพาะกล้า กาแฟดี ที่แม่ฮ่องสอน” มีเป้าหมายเพื่อให้เกษตรกรมีทักษะเพาะกล้าโดยใช้กล้าจากกาแฟพันธุ์ดี ตลอดจนมีความรู้ทักษะ ในการผลิตกาแฟคุณภาพโดยการนำเทคโนโลยีนวัตกรรมที่เหมาะสมมาใช้ในกระบวนการผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ การผลิตกาแฟตลอดห่วงโซ่อุปทาน และสามารถเชื่อมโยงการผลิตกาแฟเข้ากับกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การท่องเที่ยวเชิงเกษตร ที่จะสร้างรายได้ให้กับเกษตรกร และเกิดความยั่งยืนในอาชีพ ตลอดจนการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และที่สำคัญคือที่ตั้งของหมู่บ้านแห่งนี้อยู่ในเส้นทางท่องเที่ยวของทุ่งดอกบัวตองดอยแม่อูคอด้วย


สำหรับปัญหาเรื่องการตลาด มาตรฐานการผลิต แหล่งผลิตหรือคู่แข่งด้านการตลาดของกาแฟไทยในภาพรวมทั้งประเทศนั้น รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวเพิ่มเติม ว่า หากคิดเฉพาะผลผลิตกาแฟที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ปีที่ผ่านมาสามารถผลิตได้กว่า 3,000 ตัน สร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรกว่า 90 ล้านบาท แต่ความต้องการเมล็ดกาแฟทั้งประเทศนั้นมากกว่า 80,000 ตัน แต่เรายังผลิตได้ไม่เพียงพอต่อความต้องการ ซึ่งจะดูได้จากราคาของกาแฟที่เริ่มขยับจากราคากิโลกรัมละ 80 บาท มาอยู่ที่ 130 บาทต่อกิโลกรัมแล้ว เพราะฉะนั้นการตะผลิตกาแฟให้ได้มาตรฐานและได้รับการยอมรับ จะต้องมีเรื่องราวของพื้นที่การเพาะปลูก การดูแล การเก็บเกี่ยวไปจนถึงรสชาติของกาแฟ ขณะที่เราพัฒนากาแฟของเราเองก็ต้องพิจารณาถึงคู่แข่งด้วย ทั้งเวียตนาม ลาวหรือแม๊กซิโกที่ล้วนเป็นคู่แข่งทางการตลาดของเราอยู่ในขณะนี้
วิรัตน์ นันทะพรพิบูลย์ จ.แม่ฮ่องสอน