จากกระแสข่าวการเตรียมเปิดด่านชายแดนไทย–กัมพูชา โดยเริ่มจากการขนส่งสินค้าในพื้นที่ที่ไม่มีความตึงเครียด หรือที่เรียกว่าระดับสาม ได้แก่ บริเวณชายแดนจังหวัดจันทบุรี และตราด โดยในระยะแรกยังไม่มีการอนุญาตให้บุคคลเดินทางข้ามแดน โดยมีรายงานว่า การพิจารณาดังกล่าวเกิดขึ้นจากแรงกดดันของประเทศที่สามที่ได้รับผลกระทบจากการส่งออกสินค้าที่ไม่สามารถผ่านประเทศไทยได้

ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดศรีสะเกษ รายงานว่า นายรัฐวิทย์ อังคสกุลเกียรติ ประธานหอการค้าจังหวัดศรีสะเกษ เปิดเผยถึงสถานการณ์เศรษฐกิจตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา บริเวณจุดผ่านแดนถาวรช่องสะงำ อำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ ว่า รัฐบาลควรกำหนดมาตรการที่ชัดเจนร่วมกับประเทศกัมพูชา โดยต้องให้ความสำคัญกับ “ความมั่นคง” เป็นอันดับแรก ก่อนเดินหน้าด้านเศรษฐกิจการค้า ซึ่งภาคเอกชนสามารถขับเคลื่อนได้เอง โดยไม่ควรยอมอ่อนข้อจนทำให้ไทยเสียเปรียบในการเจรจาระหว่างประเทศ

นายรัฐวิทย์ กล่าวต่อว่า การปิดด่านช่องสะงำย่อมกระทบต่อเศรษฐกิจชายแดน แต่หากเปิดโดยไร้หลักประกันด้านความมั่นคง ย่อมเสี่ยงต่อการถูกสั่งปิดอีกครั้ง ซึ่งจะสร้างความเสียหายต่อผู้ประกอบการและนักลงทุนมากกว่า เพราะการเตรียมการด้านการค้าและการลงทุนจะต้องหยุดชะงักทันที ตนไม่อยากเห็นการปิดด่าน แต่ถ้าเปิดแล้วไม่มีเสถียรภาพจนต้องปิดอีกครั้ง จะยิ่งสร้างความเสียหายหนักกว่า ดังนั้น การเปิดด่านควรเป็นการเปิดที่มั่นคงและชัดเจน ใช้โอกาสนี้เป็นการต่อรองเพื่อสร้างประโยชน์ในอนาคต มากกว่าการเปิดชั่วคราวแล้วกลับมาปิดใหม่โดยไม่รู้ทิศทางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ” นายรัฐวิทย์กล่าว

ประธานหอการค้าจังหวัดศรีสะเกษ ยังย้ำว่า รัฐบาลควรยึดผลประโยชน์ของชาติและเสียงของประชาชนในพื้นที่เป็นหลัก แม้จะมีแรงกดดันจากประเทศที่สามก็ตาม โดยเห็นว่าความต้องการของชาวบ้านและความมั่นคงของประเทศต้องมาก่อนทุกปัจจัย หากมีความเชื่อมั่นระหว่างประเทศเกิดขึ้นแล้ว การค้าชายแดนก็จะเดินหน้าได้เองอย่างยั่งยืน/
จิรภัทร หมายสุข ศรีสะเกษ