พล.ต.ต.ไพโรจน์ สุขรวยธนโชติ รอง.ผบช.ภ.1, พล.ต.ต.วรชาติ แสนคำ ผบก.สส.ภ.1, พล.ต.ต พล.ต.ต.นฤนาท พุทไธสง ผบก.ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา, พ.ต.อ.มนัส อัดโดดดร ผกก.สภ.อุทัย พ.ต.ท.กฤษฎา บุญสิริ รอง ผกก.สส.สภ.บางปะอิน นายกัมพล ดำเนินศิลป์ ผู้จัดการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคพระนครศรีอยุธยา นายวิสูตร จันทร์นิล ผู้จัดการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สาขาอุทัย และ เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เจ้าหน้าที่ ตำรวจ ชุดสืบสวนภาค 1 เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.อุทัย และ เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.บางปะอิน เจ้าหน้าที่จากการไฟฟ้า กระจายกำลังบุกตรวจสอบ ทลายเหมืองขุดบิตคอยน์ ลักใช้ไฟหลวงฟรี ในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พร้อมกันได้ถึง จำนวน 3 แห่ง ได้แก่อำเภอบางปะอิน อำเภออุทัย และ อำเภอพระนครศรีอยุธยา
โดยจุดที่ 1 อาคารพาณิชย์สูง 3 ชั้น ตั้งอยู่ริมโรจนะ ขาเข้า ในพื้นที่ ตำบลสามเรือน อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จุดที่ 2 อาคารพาณิชย์ 4 ชั้น ริมถนนสาย อุทัย – ภาชี มุ่งหน้าไป อำเภอภาชี ในพื้นที่ตำบลคานหาม อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และจุดที่ 3 อาคารพาณิชย์ 3 ชั้น ในพื้นที่ ตำบลเกาะเรียน อำเภอพระนครศรีอยุธยาจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยทั้ง 3 แห่ง พบลักษณะคล้ายกัน ชั้นล่างเป็นประตูเหล็กม้วนด้านล่างปิดล็อก ที่สายไฟด้านหน้าถูกปิดทับด้วยฝา จึงทำการตรวจสอบ ใต้ฝาพบมีการลักเชื่อมต่อสายไฟเข้าไปในตัวอาคาร เจ้าหน้าที่ตัดกุญแจเข้าไปตรวจสอบ พบที่ชั้นล่างมีการเจาะพื้นร้อยสายไฟทะลุพื้นขึ้นไปยังชั้น 3 แห่งที่ 1 และชั้น 4 แห่งที่ 2 เมื่อขึ้นไปตรวจสอบด้านบนพบอุปกรณ์เครื่องขุดบิตคอยน์ 30 เครื่อง คอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง พัดลมขนาดใหญ่ 1 ตัว และอุปกรณ์สายไฟ จึงได้ทำการตรวจยึดทั้งหมด 3 แห่งรวมทั้งหมด เครื่องขุด คอยน์ จำนวน 90 เครื่อง คอมพิวเตอร์ 3 เครื่อง พัดลมขนาดใหญ่ 3 ตัว

พล.ต.ต.ไพโรจน์ สุขรวยธนโชติ รอง.ผบช.ภ.1 กล่าวว่า คดีนี้เป็นการกระทำของผู้ที่มีความรู้ในด้านนี้เป็นอย่างดี โดยจะได้รับเงินส่วนแบ่งจากเงินดิจิตอล แต่ที่พลาดและผิดคือการใช้ไฟฟ้าหลวงฟรี โดยลักทรัพย์ของการไฟฟ้า 3 เดือน เดือนละ 300,000 – 400,000 บาท ค่าเสียหายทั้ง 3 แห่งที่ลักลอบ มูลค่า รวมประมาณ 3 ล้านบาท ส่วนตัวเครื่องขุดบิตคอยน์จะต้องตรวจสอบการนำเข้า ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้การไฟฟ้าตรวจสอบพบความผิดปกติของสถานที่ ทั้ง 3 แห่ง ว่ามีการต่อไฟและรับไฟใช้ โดยยังมีการเช่าตึก โดยไม่มีใครอยู่ อยากฝากถึงผู้ที่กระทำผิดให้เลิกพฤติกรรม ไม่ควรมาลักทรัพย์ของชาติ ซึ่งไม่ถูกต้อง หลังจากนี้จะติดตามขยายตัวผู้กระทำผิด มาดำเนินคดีโดยเร็ว เพราะพบว่าผู้กระทำผิดมาเช่าพื้นที่ และติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์ควบคุมการใช้เครื่อง จากนั้นก็ล็อกประตูปล่อยให้เครื่องทำงาน โดยมีการดูจากข้างนอกไม่ต้องเข้ามาภายในอาคารดูด้วยตัวเอง และจ่ายค่าเช่าปกติ แต่ที่ไม่ปกติคือมาลักไฟหลวงใช้ เพราะเราตรวจสอบพบเครื่องทำงานอยู่ แต่มิเตอร์ไฟไม่เดิน ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับ ผู้ต้องหาได้แล้ว 1 คนอยู่ระหว่างการสอบสวนเพื่อขยายผลหาผู้ร่วมขบวนการทั้งหมด

ด้าน นายวิสูตร จันทร์นิล ผู้จัดการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สาขาอุทัย เปิดเผยว่า การตรวจพบความผิดปกติในครั้งนี้ เนื่องจากเจ้าหน้าที่จากการไฟฟ้าตรวจสอบมิเตอร์ไฟ ปรากฏว่ามิเตอร์ไม่หมุน การไฟฟ้าจึงได้จัดเจ้าหน้าที่ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบพบว่าที่สายไฟที่วิ่งเข้าไปในตึกมีกระแสไฟวิ่งเข้าไป 90 แอมป์ ทั้ง 3 เฟส เราจึงมั่นใจว่าต้องมีการละเมิดการใช้ไฟ น่าจะเป็นการขุดบิตคอยน์ จึงไปแจ้งความให้มาตรวจสอบ
จากการตรวจสอบพบว่าน่าจะมีการละเมิดการใช้ไฟ โดยใช้สารบางอย่างเจาะรูและหยอดลงไปที่ตัวมิเตอร์ไฟ ทำให้จานที่ตัวมิเตอร์ไม่หมุน ประกอบกับการตรวจสอบการใช้กระแสไฟ จึงเชื่อว่าเป็นการลักใช้ไฟฟ้าในการขุดบิตคอยน์ ซึ่งการเข้าตรวจค้นทั้ง 3 แห่งนั้น มูลค่าความเสียหายที่ลักลอบใช้ไฟไป 3 เดือน คือเดือนละประมาณ 300,000 – 400,000 บาท รวมมูลค่าประมาณ 3 ล้านบาท เป็นการประเมินในเบื้องต้น

อยากฝากเตือนประชาชน ถ้าพบเห็นการใช้ไฟผิดปกติ ให้แจ้งการไฟฟ้าได้ทันที หรือโทร 1129 ซึ่งความผิดคือเป็นการละเมิดลักไฟหลวงไปใช้ทำให้เกิดความเสียหาย กรณีนี้ถือ ว่าไม่ใช่ครั้งแรก เพราะ ในเขตพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยามีการตรวจพบมาแล้วหลายครั้งตั้งแต่ปีที่แล้ว ซึ่งพบเป็นครั้งแรก จนมาสู่ในวันนี้เข้าตรวจวันเดียว 3 จุดพบทั้ง 3 จุด