กระทรวงสาธารณสุขในยุคปัจจุบัน ภายใต้การบริหารงานของ “หมอหนู” นับวันดูยิ่งจะแน่นแฟ้น ไม่ว่าจะกี่กระแสดราม่า กองทัพหมอ พยาบาล ที่นำโดยหมอหนูก็ทะลวงผ่านทุกวิกฤติด้านสุขภาพไปได้ด้วยดี อาจด้วยเพราะกำลังพลที่แข็งขัน ทำงานเป็นทีมกันอย่างจริงจัง มีความไว้วางใจต่อกัน ด้วยวาระการทำงานต่อเนื่องกันมากว่าสามปีของหมอหนู การจัดวางขุมกำลังในการบริหารกรมกองทั้งหลายตั้งแต่ นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดคนใหม่ป้ายแดง ที่แสดงฝีมือให้เป็นที่ประจักษ์ในวิกฤตโควิด-19  “รองปลัด สธ.” คนที่ 5 ตำแหน่งที่ไม่เคยมีใครคิดว่าจะเกิดขึ้นได้ ก็เกิดขึ้นแล้วในยุคนี้ เพราะปัจจุบัน รมว.อนุทิน ได้ยกระดับจากกระทรวงรอง มาเป็นกระทรวงหลักของประเทศ ดูแลทุกข์สุขประชาชนทั้งสุขภาพ เศรษฐกิจ ตลอดจนการท่องเที่ยว ดังนั้นการวางตัวผู้บริหารต้องเป็นกลุ่มบุคคลที่หมอหนูไว้ใจสูงสุดตั้งแต่ตัวปลัดกระทรวง รองปลัดกระทรวง อธิบดีกรมการแพทย์ กรมควบคุมโรค กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กรมอนามัย กรมสุขภาพจิต กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) ซึ่งล่าสุดจะเห็นได้ว่าหมอหนูได้วางตัวบุคคลให้มาทำงานร่วมกันอย่างสอดประสานได้เป็นอย่างดียิ่ง ไร้ข้อครหา มีความเหมาะสม สะท้อนภาพชัดเจนถึงการกระชับอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในกระทรวงหมอ

ขณะที่ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) หนึ่งในหน่วยงานตระกูล “ส.” ที่ใครๆ ก็มองว่าเป็นไม้เบื่อไม้เมากับ สธ.มาตลอด แต่หมอหนูก็ประสานเชื่อมความร่วมมือได้อย่างอยู่หมัด คณะกรรมการ สปสช เองก็ทำงานควบรวมกันอย่างลงตัว จนมาเป็นนโยบายขับเคลื่อนระบบสาธารณสุขอย่างที่เห็นในปัจจุบัน เพิ่มสิทธิประโยชน์ด้านสุขภาพให้กับประชาชน เพื่อการเข้าถึงบริการอย่างเท่าเทียม ทุกหน่วยงานของกระทรวงต่างมองเห็นประโยชน์ของ “ประชาชน” เป็นที่ตั้ง หากจะนับรวม องค์การเภสัชกรรม(อภ.) สถาบันวัคซีนแห่งชาติ สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ ต่างก็รับทุกนโยบายของหมอหนูไปปรับใช้ ให้เข้ากับสถานการณ์ด้านการสาธารณสุขของประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนั้น อำนาจบริหารไปยังหัวหน้าส่วนราชการก็ไม่แผ่วลง ผู้ตรวจราชการเขตสุขภาพทั้ง 12 เขต ทำงานทุ่มเทอย่างขยันขันแข็ง เห็นได้จากเวลาที่หมอหนูเดินทางไปภารกิจราชการในพื้นที่ใด ไม่ว่าวันทำงานหรือวันหยุด ทุกคนต่างมาร่วมต้อนรับ ร่วมคณะลงพื้นที่เผชิญปัญหากับเจ้ากระทรวงไปทุกหนแห่ง ปราศจากพิธีรีตรองในการต้อนรับบุคคลระดับรองนายกรัฐมนตรี เป็นอีกภาพที่คนกระทรวงสาธารณสุขได้พบเห็นจนคุ้นเคย

ด้วยทีมงานที่แข็งแกร่งของกระทรวงสาธารณสุขในยามนี้ ทำให้หมอหนูแทบหมดห่วงกับศึกภายนอก แต่ทว่าศึกภายในที่ยังมีความคุกรุ่นมาโดยตลอดอย่างเช่น “ชมรมแพทย์ชนบท” ที่ตั้งตัวเป็นกลางแบ่งฝั่งดีและเลว โดยให้ตัวเองเป็นคนขีดเส้นจึงไม่แปลกที่ทุกอย่างดูบิดเบี้ยวไปหมด ในยุคที่ยังมีความเรืองอำนาจ อาจเพราะอดีตรัฐมนตรีคนแล้วคนเล่าต่างไม่กล้าปะทะกับกลุ่มแพทย์ชนบท แต่ในยุคที่เจ้ากระทรวงชื่ออนุทิน ชมรมแพทย์ชนบท ต้องใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อชิงพื้นที่ความสนใจ ปลุกปั่นทุกกระแส หาพรรคพวกเล่นงานหมอหนูและทีมงานผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขให้อ่อนแอ มีการหมั่นโพสต์ข้อความรายวันผ่านโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ก แต่ดูเหมือนไม่เป็นผล เพราะไม่ว่าจะอย่างไรก็ยังไม่สามารถทำให้หมอหนูหวั่นไหวหรือให้ความสนใจได้ แถมการกระทำของประธานชมรมแพทย์ชนบทที่ฝีมือหน่อมแน้มอย่าง นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจผอ.รพ.จะนะ ซึ่งยังขาดทั้งวุฒิภาวะและบารมี ยังทำให้พี่น้องร่วมอุดมการณ์หลายคนต้องพลอยเสี่ยงได้รับความเดือดร้อนไปด้วย จนหลายคนถึงขั้นต้องโบกมือลาเพราะบารมีอันน้อยนิดและอุดมการณ์ของหมอสุภัทรน่าจะเน้นไปในทางสร้างแสงให้กับตนเองมากกว่าส่วนรวม อีกทั้งพฤติกรรมที่ส่อไปในทางทุจริตเช่นการเข้ามารับดูแลเรื่องโควิดในกรุงเทพและการจัดซื้อ ATK ที่มีราคาสูงกว่าปกติก็ทำให้เกิดข้อกังขาของมวลหมู่สมาชิกเป็นอันมาก มีการพูดกันแพร่หลายในหมู่แพทย์ว่าเวลาหมอสุภัทรโพสต์ข้อความภายใต้เพจชมรมแพทย์ชนบทนั้น อันที่จริงคือการโพสต์ของหมอสุภัทรแต่เพียงผู้เดียว

ตลอดเวลา 3 ปีที่ อนุทิน นำทัพไปสู้ศึกต่างๆ ต้องยอมรับว่ากระสุนพุ่งลงหลังคาบ้านไม่เว้นวัน แต่เจ้าตัวก็ทำงานอย่างได้ใจคนในบังคับบัญชา การแอ่นอกรับกระสุนจนบางครั้งถึงขั้นเลือดสาดก็เพื่อปกป้องให้คนทำงานได้ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ ไม่ต้องมีห่วงหรือต้องเกรงกลัวอะไร หาได้ไม่มากนัก ที่ผู้นำจะปล่อยอิสระให้คนทำงานได้ลงมือบรรเลงเอง ไม่ล้วงลูก ขอเพียงทุกอย่างต้องโปร่งใสและตรวจสอบได้ หมอหนูก็พร้อมผลักดันสนับสนุนให้อย่างเต็มที่

ความหนักแน่นไม่หวั่นต่อการคุกคามใดๆจากผู้ที่เป็นปฏิปักษ์ ทำให้ภาพของหมอหนูในกระทรวงสาธารณสุขตอนนี้ได้รับการยอมรับและเกิดความร่วมมือในการทำงานอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่บ่อยนักที่จะมีนักการเมืองทำงานร่วมกับข้าราชการประจำได้อย่างลื่นไหลเช่นที่เกิดขึ้นในยุคนี้ หมอหนูใช้กุศโลบายกระชับอำนาจให้เกิดประสิทธิภาพ ไม่ใช่เพื่อเพิ่มอำนาจให้ตัวเอง ดูแลบุคลากรสาธารณสุขอย่างทั่วถึง จึงเป็นเหตุให้กระทรวงสาธารณสุขสามารถดูแลสุขภาพประชาชนได้ในแทบทุกสถานการณ์ ได้รับการยอมรับและชื่นชมจากต่างประเทศและองค์การอนามัยโลกว่าประเทศไทยมีระบบการสาธารณสุขที่เข้มแข็งเป็นลำดับต้นๆของโลก หมอหนูในวันนี้ดูจะมีความสุขกับงานที่กระทรวงสาธารณสุขเป็นอย่างมาก หลายคนเป็นห่วงว่าแกจะติดใจ ไม่ยอมไปที่อื่นหลังการเลือกตั้งในปีหน้า แต่ผลงานที่ได้ฝากไว้ในกระทรวงสาธารณสุขเกือบสี่ปีคงทำให้หมอหนูได้วางโร้ดแม้ปทางการเมืองไว้อย่างรอบคอบตามสไตล์ “สบายแต่โคตรละเอียด” แล้วอย่างแน่นอน อีกไม่นานก็จะรู้กัน

ภาพ-ข่าว ดร.อภิวัตน์ จ่าตา