กลุ่มเพาะกล้าต้นพันธุ์กัญชาจังหวัดสกลนคร ออกมาให้ความเห็นกรณีปลดล็อกกัญชาออกจากยาเสพติด ว่าทำไมไม่ทำการส่งเสริมเรื่องการแปรรูป ส่งเสริมด้านการสันทนาการ หรือจัดพื้นที่โซนนิ่งให้สูบเช่นเดียวกับจังหวัดที่ได้รับอนุญาตไปแล้วหลังจากมีการปลดล็อกกัญชา และ กัญชง จากยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2565  ทำให้ประชาชนทั่วไป บริษัท หรือหน่วยงานราชการ สามารถปลูกกัญชา กัญชง เพื่อใช้ดูแลสุขภาพหรือปลูกเพื่อจำหน่ายเชิงพาณิชย์หรืออุตสาหกรรมได้ แต่ต้องแจ้งข้อมูลการปลูกให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ผ่านระบบการจดแจ้งการปลูกให้ถูกต้อง เพื่อยืนยันจำนวนต้นที่จะปลูก แหล่งที่มา รายละเอียดสถานที่ปลูก ขนาดพื้นที่ที่ปลูก และวัตถุประสงค์ในการปลูก เป็นต้น

นายนิพนธ์ มูลเมืองแสน ประธานสมาพันธ์ sme ไทย จังหวัดสกลนคร และเป็นสมาชิกกลุ่มเพาะกล้าต้นพันธุ์กัญชาจังหวัดสกลนคร กล่าวให้ความเห็นในเรื่องการปลดล็อกกัญชาออกจากยาเสพติด เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน ที่ผ่านมาว่า ในเมื่อมีกัญชาเสรีแล้ว ถามว่าชาวสกลนครจะได้อะไรจากการปลดล็อก ทั้งที่สกลนครมี 3 มหาวิทยาลัยที่ทุ่มงบประมาณทำเรื่องนี้มาก่อนใคร ฉะนั้นต้องมาดูในเรื่องของการส่งเสริมและยกระดับให้คนในสกลนคร ทั้งกลุ่มที่ได้จดทะเบียนไปแล้วและกลุ่มที่ต้องการลงทะเบียนปลูกในปัจจุบัน ซึ่งทางจังหวัดควรยกระดับทั้งในด้านการปลูก การแปรรูปและด้านการรับรองมาตรฐานของกัญชา

อีกสิ่งหนึ่งก็คือเรื่องส่งเสริมด้านการท่องเที่ยว กัญชาหางกะรอกแท้จะอยู่ที่สกลนคร นครพนม และมุกดาหาร หรือในบริเวณเทือกเขาภูพานเท่านั้น ซึ่งหากผลักดันในเชิงการท่องเที่ยว จะทำให้เกิดมูลค่าในห่วงโซ่อุปทานทางเศรษฐกิจของจังหวัดได้อย่างมากมายมหาศาล เช่นเดียวกับที่รัฐบาลได้ประกาศให้ จ.บุรีรัมย์ จ.ภูเก็ต และพัทยา เป็นเขตสันทนาการหรือหมายถึงให้สูบได้ จังหวัดสกลนครเป็นรากเหง้าของกัญชาหางกระรอกที่โด่งดังไปทั่วโลกแท้ๆ ทำไมไม่ทำให้จังหวัดสกลนครเป็นแหล่งท่องเที่ยวด้านกัญชาบ้าง หากมีการสนับสนุนส่งเสริมจากรัฐบาลแค่ประกาศเป็นพื้นที่สันทนาการ ก็จะทำให้เศรษฐกิจของจังหวัดดีขึ้นทันที จึงขอแนะนำให้จังหวัดสนับสนุนการทำกัญชาเพื่อการท่องเที่ยว โดยจัดเป็นโซนนิ่งการสูบกัญชาเป็นแห่งๆ ไป ก็ได้ ” นายนิพนธ์ กล่าว

https://youtu.be/iuZj0jgNT24

ภาพ-ข่าว วัฒนะ แก้วก่า/สกลนคร