ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หญิงชรา วัย 50 – 90 ปี ชาวตาชี อ.ยะหา จ.ยะลา กว่า 50 คน รวมตัว บริเวณ สหกรณ์ เครดิตยูเนียน ธรรมสามัคคีตาชี จำกัด ในพื้นที่ ต.ตาชี อ.ยะหา จ.ยะลา หลังตรวจสอบพบเงินฝาก กับ สหกรณ์ เครดิตยูเนียน  หายจากบัญชี กว่า 12 ล้านหรือไม่ ซึ่งมีทั้งที่เป็นเงิน ที่พักสงฆ์โคกแค ต.ตาชี เงินส่วนตัวของแม่ชี ผู้พิการ ผู้ป่วยติดเตียงรวมทั้ง ผู้สูงอายุในตำบลตาชี กว่า 300 คน พร้อมร่วมหารือในกลุ่มผู้เสียหาย โดยสรุปจากการหารือ ได้มีข้อเรียกร้อง  1.ต้องการให้ ทาง สหกรณ์ เครดิตยูเนียน ธรรมสามัคคีตาชี จำกัด ออกมาชี้แจ้งต่อสาธารณะ  2.ต้องการแจ้งความดำเนินคดี กับผู้กระทำผิดหรือผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดที่ ละเลยหน้าที่ 3.ต้องการแจ้งความดำเนินคดี ผู้กระทำผิดและผู้ที่เกี่ยวข้องที่มีอำนาจหน้าที่ในสหกรณ์ เครดิตยูเนียน ธรรมสามัคคีตาชี จำกัด ทำให้เงิน ในบัญชีหาย และ ทำให้ถูกปลอมลายเซ็น ไปถอนเงิน และ ทำให้เป็นหนี้  4.ขอให้ทางตำรวจ หรือผู้เกี่ยวข้อง ดำเนินคดีและหาความเป็นธรรมกับชาวบ้านโดยเร็วที่สุด 6.หรือความผิดอื่นๆที่ทำให้ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อน ตามที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเห็นเหมาะสมที่จะดำเนินคดีเอาผิด จากนั้น กลุ่มผู้สูงอายุ ที่ได้รับความเสียหายได้เดินทางไปที่ สถานีตำรวจยะหา จังหวัดยะลา เพื่อให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ

นางแอบ อารีบำบัด หนึ่งในผู้เสียหาย อายุ 59 ปี กล่าวว่า เงินเก็บสะสมมาที่ละนิดทีละน้อยมาทั้งชีวิต พอจะถอนเงินออกมากลับไม่มีเงินในบัญชี   แรกๆที่ทราบว่า เงินเราหายจากบัญชี เมื่อวันที่ 20 มิ.ย.65 ที่ผ่านมา มีสมาชิกไปขอถอนเงินออก แต่ถอนไม่ได้ เขาบอกว่า ต้องให้ กรรมการมาตรวจสอบก่อน ถ้ากรรมการตรวจสอบไม่มาถอนไม่ได้ ก็เอะใจ แล้วเพราะปกติแค่แจ้งล่วงหน้าถอนเงินได้แล้ว นอกจากนั้น ก่อนเจ้าหน้าที่ตรวจสอบจะมา ฝ่ายบัญชีกับฝ่ายการเงินสหกรณ์ฯ ไปหาชาวบ้านคนแก่ๆทุกบ้าน ว่า อย่าเอาบัญชี ที่อยู่ที่เรา ที่มีเงินเยอะ ไปให้ฝ่ายตรวจสอบดู เพราะเดี่ยวจะโดนล่วงข้อมูล เราจะไปไว้ใจใครได้ บัญชีจังหวัดที่มาตรวจสอบก็เชื่อไม่ได้ เดี่ยวเขาจะเอาข้อมูลไปให้ คอลเซ็นเตอร์ ถ้าลงทะเบียนแล้วเขาจะเอาเงินไปเราเชื่อเขาไม่ได้ เขาไปหาชาวบ้านไปเน้นย้ำ สองสามรอบอยู่ ก็ยิ่งแปลกใจ เพราะเราไม่มีแอปไม่มีเอทีเอ็ม คอลเซ็นเตอร์ จะมาหลอกเอาเงินเราไปได้ยังไง พอมาตรวจเงินในบัญชี เงินในสมุดบัญชีที่อยู่กับเราอยู่ครบ แต่บัญชีที่อยู่กับเขา เงินหายหมดเลย บางคน มีเงิน เกือบสองล้าน เหลือ แค่ 4 หมื่น ป้าเองมีอยู่ 9 แสนกว่า เขาเอาไป 7 แสน เหลือแค่เศษๆ ฝ่ายตรวจสอบพบว่า รวมๆแล้ว 37 คนเงินในบัญชีหายเกือบ 12 ล้าน อันนี้เฉพาะรายใหญ่ที่ฝากเยอะๆยังมีที่ฝากน้อยๆอีกที่กำลังตรวจสอบ  

   เงินนี้เป็นเงินสุดท้ายของชีวิต ทุกคนตั้งใจ เก็บเพื่อเป็นเงินเบี่ยงกระดูก แต่เขากลับเอาเงินของทุกคนเลย เห็นว่าฝากที่นี้สะดวก ไม่ต้องไปธนาคาร จะใช้เมื่อไหร่มาถอนได้ อีกอย่างมีฝ่ายตรวจสอบบัญชี ทำหน้าที่คอยตรวจสอบบัญชีทุกปีให้เราด้วย มันทำให้เกิดความเชื่อมั่น ก็ไม่คิดเลยจะมาเป็นอย่างนี้ สหกรณ๊นี้เปิดมา 40 กว่าปีเคยเกิดเรื่องแบบนี้ รุ่นที่ 3 แล้ว ที่ผ่านมาเขาเอาไปไม่เยอะ เรื่องเลยไม่ดัง 

นางละออ ทองธรรมชาติ อายุ 60 กว่าปี กล่าวว่า สมาชิกทุกคนเดือดร้อนหมดชาวบ้านคนแก่ๆทั้งนั้น 5 หมู่บ้าน มีสมาชิก ประมาณ 300 กว่าคนและยังมีคนนอกด้วย นอกจากนี้เขายังมีการปลอมลายเซ็น ไปถอนเงิน และปลอมลายเซ็น ไปกู้เงินด้วย นอกจากเงินชาวบ้านไม่เหลือแล้ว ชาวบ้านยังมีหนี้เพิ่มมาอีก จะไม่ให้เครียดได้ยังไง อยากให้ทุกคนรวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาช่วยชาวบ้าน เราต้องการดำเนินคดีคนทำผิดและคนที่มีอำนาจรับผิดชอบที่ละเลยหน้าที่ ขอให้ตำรวจทำคดีให้เร็วเพราะทุกคนมีความเดือดร้อนและต้องการใช้เงิน

    ชาวบ้านอีกราย กล่าวว่า เงินเกือบสองล้านของตน ที่หายจากบัญชี เหลือ สีหมื่นบาท แถมยังติดหนี้ อีก 6 หมื่น จากที่เขาปลอมลายเซ็น ก็ถือว่ายังโชคดี ที่เรื่องมาแดงก่อน ไม่อย่างนั้น เงินจากการขายผลไม้ ปีนี้ อีกหลายล้านของชาวบ้าน ที่จะเอาไปฝากกับสหกรณ์ฯ

    ตอนนี้ก็มีความหวังว่าตำรวจ ว่าจะทำคดีให้เร็ว เอาผิดคนที่เอาเงินไปและคนที่มีอำนาจหน้าที่ต้องตรวจสอบและไม่มาตรวจสอบให้เรา เพราะถ้าฝ่ายตรวจสอบทำหน้าที ประธานและคณะกรรมการสหกรณ์ ทำหน้าที่ เงินของชาวบ้านคงไม่หาย แต่ปล่อยเรื่องมานานถึง 14 ปี ชาวบ้านไม่เคยรู้เลยว่าเกิดเรื่องแบบนี้ พอเงินหาย มาบอกว่า ฝ่ายบัญชีกับฝ่ายการเงิน สองคนนี้ ที่เอาเงินไป ส่วนตัวมองว่า ทุกคนที่มีอำนาจที่เกี่ยวข้อง ต้องร่วมรับผิดชอบหาทางออกให้กับชาวบ้าน เงินหายก็ต้องหาเงินคืนให้ชาวบ้านโดยเร็ว ไม่อย่างนั้นทางตำรวจก็ควรดำเนินคดีกับทุกคนที่ร่วมทำผิด 

      แม่ชีทิพย์เกสร ทองธรรมชาติ กล่าวว่า ตั้งใจจะถอนเงินไปต่อเติมบ้านให้แม่ที่นราธิวาส แต่เขากลับบอกว่า ยังถอนเงินไม่ได้จนกว่าฝ่ายตรวจสอบจะเข้ามาตรวจสอบบัญชี ก็เลยรู้ว่าเงินไม่มีแล้ว ตอนนี้ก็ฝากความหวังกับผู้เกี่ยวข้องจะดำเนินการ หาเงินมาคืนชาวบ้าน นอกจากนี้เงินส่วนตัวของแม่ชี ยังมีเงิน ที่พักสงฆ์โคกแค ต.ตาชี ด้วย ก็หวังว่าทุกคนจะได้เงินคืน

     นายช่วง ไชยแสงสี  อายุ 60 กว่าปี ซึ่งเป็นคนพิการขา ถูกระเบิดคอมมิวนิสต์ กล่าวว่า เงินเราเขาเอาไป ตั้งใจเก็บ ทำงานสะสม เผื่อใช้จ่ายตอนแก่ ตอนไม่สบายพอรู้ว่าเงินหายก็รู้สึกเครียดนอนไม่หลับเลย ตอนนี้หวังว่า ทุกคน ตำรวจ สื่อมวลชน และผู้ที่เกี่ยวข้องที่มีอำนาจจะร่วมกันช่วยชาวบ้านให้ได้รับความเป็นธรรม ให้ได้เงินกลับคืนมา 

ทางด้าน พล.ต.ต.ทินกร รังมาตย์ ผบก.ภ.จว.ยะลา เปิดเผยว่า ได้คุยกับสารวัตรสืบสวน ทราบว่า คดีมีการรับแจ้งเป็นคดีแล้ว ตอนนี้คือขั้นตอนรอเอกสารจากหน่วยเกี่ยวข้องเพื่อดูความเสียหายทั้งหมดว่าเท่าไหร่อย่างไร ขอให้พี่น้องว่า รอซักนิด เดี๋ยวจะมีการเชิญให้ปากคำกันทุก ๆ คนที่เกี่ยวข้องที่เสียหาย ตนเองได้กำชับให้ พนักงานสอบสวนแล้ว และได้ตั้งไลน์กลุ่ม เพื่อให้พี่น้องประชาชนที่เสียหาย และคนเกี่ยวข้องเข้าร่วมติดตามความคืบหน้า ผมได้เชิญ ผกก.ยะหา พนักงานสอบสวน สารวัตรสืบสวน และ ให้ทาง ภ.จว.ยะลา มีรองผู้การฯ ลงไปดูอีกชั้นหนึ่ง เพราะ เรื่องนี้ทราบว่า โกงผ่านกันมาต่อเนื่อง หลายห้วง หลายยุค กำลังขุดคุ้ย ตามพยานเอกสาร ต่อด้วยพยานบุคคลผู้เสียหาย

คดีนี้ มีชาวบ้านเสียหายเยอะ ขอให้เดินกันไปอย่างเป็นระบบ ยึดพยานหลักฐานให้สมบูรณ์ ให้คำแนะนำชาวบ้านให้เข้าใจ โดยเฉพาะการชี้แจงขั้นตอนต่างๆ ต้องทำให้ชัดเจน ต้องมีการชี้แจงรายละเอียดว่า ต้องทำอะไร ตามลำดับ 1 – 2- 3 – 4 – 5 การเปิดไลย์กลุ่มเพื่อจะได้มีช่องทางการติดต่อพูดคุยให้ข้อมูลกัน แต่ก็ได้แจ้งเตือนด้วยว่า อย่าเผลอชวน กลุ่มฝ่ายสนับสนุนช่วยเหลือ ผู้กระทำความผิด กันเข้ามา ได้เชิญพนักงานสอบสวน เจ้าของคดี เข้าห้องไลน์ และคนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ซึ่งขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลัง รวบรวมหลักฐาน เพื่อดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องให้ถึงที่สุดต่อไป  นอกจากนี้ ยังได้กำชับในประเด็น ของการทำลายเอกสาร หรืออาจทำเป็นอุบัติเหตุ ทำให้เกิดไฟไหม้ ก็ต้องช่วยกันดูตรงนี้ เฝ้าระวังร่วมกัน

ภาพ-ข่าว อะหมัด รามันห์สิริวงศ์/ยะลา