ที่ จ.สงขลามีเหตุการณ์พระลูกวัดชื่อดังถูกแกงค์คอลเซ็นเตอร์หลอกให้โอนเงินไปถึง 140,000 บาท และเคราะซ้ำกรรมซัดเมื่อกลายเป็นข่าวก็ต้องตกเป็นจำเลยสังคมเพราะถูกกระแสโซเชียลโจมตีหาว่าเงินที่ถูกหลอกไปเป็นเงินของวัดที่ชาวบ้านมาทำบุญ ทั้งที่เป็นเงินเก็บส่วนตัวที่ทำงานหาเงินมาทั้งชีวิตก่อนที่จะมาบวชเป็นพระ    เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับพระกรวิชญ์ วชิรญาโณ หรือหลวงโอ อายุ 32 ปี เป็นพระลูกวัดมหัตตมังคลาราม หรือ วัดหาดใหญ่ใน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ซึ่งบวชมาได้ราว 1 ปี ชื่อเดิมคือ นายกรวิชญ์ พรมวงษ์ เป็นชาว จ.นครศรีธรรมราช

   ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ไปพบกับ พระกรวิชญ์ ที่วัดมหัตตมังคลาราม และได้เล่าเรื่องที่ถูกแกงค์คอลเซ็นเตอร์หลอกโอนเงินไปถึง 140,000 บาท ให้ฟังว่า เกิดขึ้นเมื่อช่วงบ่ายของวันที่9 มกราคมที่ผ่านมา ที่วัดโพธ์น้อย ใน อ.รัษฎา จ.ตรัง ขณะเดินทางกลับไปเยี่ยมโยมแม่ และมีผู้หญิงโทรศัพท์เข้ามาอ้างว่าโทรมาจากบริษัทขนส่งเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่งว่ามีกล่องพัสดุเป็นชื่อของตนถูกส่งไปที่ จ.เชียงใหม่ ภายในมีหนังสือเดินทาง 14 เล่ม  บัตรเอทีเอ็ม 10 ใบเสื้อผ้า 8 ชุด และทางศุลกากรบอกว่าเป็นสิ่งผิดกฏหมายพัวพันกับแกงค์ฟอกเงิน และขอไอดีไลน์จะให้ตำรวจติดต่อกลับไป    แค่ 2 นาทีก็มีตำรวจคนหนึ่งโทรมาบอกว่าเป็นรองสารวัตร สภ.เชียงใหม่ ให้ตนไปพูดที่ไม่มีคนและสอบสวนตน ก่อนที่จะให้คุยกับสารวัตรอีกคนอ้างชื่อว่า ร.ต.อ.ภาณุวัฒน์ ด้วงบ้านยาง มีการขอเลขบัตรประชาชนไปตรวจสอบบอกว่าตนพัวพันคดีฟอกเงินพันล้าน และมีผู้ต้องหาที่ถูกจับซัดทอดว่าตนเป็นคนรับจ้างเปิดบัญชีได้ค่าจ้าง 12,000 บาทต่อบัญชี และได้ส่วนแบ่งจากการฟอกเงิน 10 เปอร์เซ็นเป็นเงิน850,000 บาท และยังขอตรวจสอบบัญชีการเงินของตนซึ่งมีอยู่ 3 บัญชีแต่มีบัญชีเดียวที่มีเงินอยู่ 150,000 บาท  โดยให้ตนโอนเงินไปให้ทั้งหมดบอกว่าจะให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรตรวจสอบเงินว่าถูกต้องหรือไม่ใช้เวลาในการตรวจสอบเงินไม่เกิน 40 นาทีและระหว่างที่ตรวจสอบเงินก็ให้ถือสายโทรศัพท์รอได้เลย หากเป็นเงินถูกต้องก็จะโอนกลับให้ และพูดย้ำว่าจะเอายศเอาเกียรติของตำรวจเป็นประกัน ว่าจะโอนกลับให้ แต่ถ้าไม่โอนก็จะออกหมายจับในคดีฟอกเงินและจะตามไปจับถึงที่วัด

พระกรวิชญ์ บอกว่า ด้วยความที่มั่นใจว่าเงินตนเป็นเงินบริสุทธ์ไม่ผิดกฏหมายและต้องการที่จะปกป้องผ้าเหลืองปกป้องวัดเพราะถ้าตำรวจมาจับที่วัดไม่ว่าเรื่องจะจริงไม่จริงก็จะสร้างความเสียหายให้กับวัดและพระพุทธศาสนา จึงได้โอนไป 140,000 บาท เข้าบัญชี น.ส.เวฬุรีย์ ปิติเลิศวงศ์ โดยเหลือไว้ในบัญชี 10,000 บาท เพราะตนจะเก็บไว้ให้โยมแม่  ซึ่งตลอดที่พูดคุยกันเกือบ2ชั่วโมงไม่ได้มีการวางสายโทรศัพท์แต่อย่างใด และได้ยินเสียง ว.ของตำรวจดังขึ้นตลอด  แต่หลังจากที่โอนเงินไปแล้วตนก็ถือสายโทรศัพท์รอและเหลือเพียงอีก10 นาทีจึงร้อนใจสอบถามกลับไปว่าโอนเงินกลับมาหรือยัง  ปลายสายก็พูดว่า”หลวงพี่คับขออนุญาตบล๊อค”และตัดสายทิ้งไป ตอนนั้นเริ่มสั่นและอยู่ไม่ติดเพราะเริ่มรู้ตัวว่าน่าจะถูกหลอกจึงโทรกลับไปอีกทีก็มีคนรับและตนถามกลับไปว่า”เมื่อกี้โยมพูดว่าขออนุญาญบล็อกหรือ” และปลายสายบอกสั้นๆว่า”ตามนั้นคับ”และตัดสายไปและโทรไม่รับอีกเลย     พระกรวิชญ์ บอกว่า ได้ตรอจสอบชื่อของ ร.ต.อ.ภาณุวัฒน์ ด้วงบ้านยาง ที่ถูกอ้างถึงก็พบว่าเป็นตำรวจจริงแต่อยู่ที่ สภ.บางระกำ จ.พิษณุโลก ไม่ได้อยู่เชียงใหม่ และโทรไปคุยตำรวจท่านนี้ก็บอกว่ามีผู้เสียหายที่ถูกเอาชื่อไปอ้างกว่า 40 ราย

พระกรวิชญ์ บอกว่า หลังเกิดเหตุได้เข้าแจ้งความกับตำรวจ สภ.รัษฎา จ.ตรัง ไว้แล้ว เมื่อวานนี้ซึ่งเป็นพื้นที่เกิดเหตุ แต่เมื่อมีข่าวปรากฏว่าออกไปทางสื่อ ปรากฏว่าจากที่ตนเป็นผู้เสียหายต้องกลายเป็นจำเลยสังคม โดยเฉพาะในกระแสโซเชียล เพราะบางคนเข้าใจผิดว่าเงินที่ถูกหลอกไปเป็นเงินของวัดที่ชาวบ้านมาทำบุญ และถูกด่าถูกว่าในโซเชียลจนแทบไม่อยากอ่านคอมเมนต์    ซึ่งความจริงแล้วเงินที่ถูกแกงค์คอลเซ็นเตอร์หลอกไป 140,000 บาท เป็นเงินที่เก็บสะสมจากการทำงานก่อนมาบวชซึ่งตนทำงานหนักและสู้ชีวิตมาตลอด เป็นกุ๊กโรงแรม เวลาว่างก็ไปเป็นเด็กเสริฟพนักงานต้อนรับ และยังเปิดบริษัทกับเพื่อนเป็นหน้าขายบ้านและบ้านเช่า แต่ช่วงโควิด19 ทำให้ไม่มีงานชีวิตฟุ้งซ่านจึงต้องการหาที่สงบพักกายพักใจจึงมาบวชพระที่วัดมหัตตมังคลารามหรือวัดหาดใหญ่ใน ได้ 1 ปี และด้วยความที่เป็นเชฟเก่ามาก่อนก็เลยได้ช่วยวัดทำอาหารแจกชาวบ้านช่วงโควิดด้วย แต่ว่ามันมีเหตุการณ์ที่ต้องบวชต่อ 2 ครั้งโดยครั้งแรกพอพูดเรื่องสึกก็เกิดอุบัติเหตุหัวแตกเย็บไป3 เข็ม และพอพูดเรื่องสึกครั้งที่สองก็มีถูกหลอกเงินสูญไป140,000 บาท ก็เลยตั้งใจว่าจะบวชไปเรื่อยๆเพราะชอบความสงบและสบายใจที่ได้เห็นญาติโยมมาทำบุญกันที่วัด

ภาพ-ข่าว นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา