นายลิขิต สุขเยาว์ ป้องกันจังหวัดชุมพร พร้อมด้วย ร.ต.อ.สมควร  พิมพ์ทอง  รอง สว.สืบสวน สภ.ท่าแซะ ร.ต.อ.ภินันท์ สมเขาใหญ่รอง สวป.สภ.ท่าแซะ,ร.อ.ชาญณรงค์ ทองแก้ว  เจ้าหน้าที่ฝ่ายการข่าว กอ.รมน.ช.พ.  ร.อ.กอบศักดิ์ นาคหาญ หัวหน้า ชรต. 4103  และสมาชิกกองอาสารักษาดินแดนจังหวัดชุมพรที่ 1  ได้ควบคุมตัวแรงงานต่างด้าว สัญชาติเมียนมา จำนวน 26 คน เป็นชาย 9 คน และหญิง 17 คน พร้อมคนไทยอีก 1 คน  มายังกองร้อย ตชด.414 (ยายไท) เพื่อทำการกักกันตัวและคัดกรองตรวจหาเชื้อโควิด-19 ตามมาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด19 จำนวน 10 วัน

สืบเนื่องจาก นายลิขิต สุขเยาว์ ป้องกันจังหวัดชุมพร ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่าจะมีขบวนการลักลอบขนแรงงานต่างด้าวเข้ามาในพื้นที่ โดยใช้ถนนสายหมู่บ้าน เชื่อม ต่อ ระหว่าง ม.6 ต.จปร. อ.กระบุรี จ.ระนอง กับ ม.17 ต.รับร่อ อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร เจ้าหน้าที่จึงวางแผนก่อนสนธิกำลัง จัดชุดซุ่มสกัดจับในเส้นทางที่คาดว่าจะใช้ในการหลบหนีด่านความมั่นคงเฉพาะกิจ   จนกระทั่งเมื่อเวลาประมาณ  01.00 น. เจ้าหน้าที่ชุดที่ซุ่มสกัดจับ  ได้สังเกตพบว่ามีดวงไฟส่องสว่างที่คนกรีดยางใช้ เดินลัดเลอะมาตามแนวเชิงเขากลางสวนยาง โดยมีคนจำนวนมากกว่า10 คนเดินเรียงแถวยาวเรียงหนึ่ง จึงรอจังหวะให้กลุ่มคนดังกล่าวเดินเข้ามาอยู่ในระยะที่พร้อมจะเข้าตรวจสอบจับกุม

หลังจากที่กลุ่มคนเหล่านั้นเดินมาถึงในจุดเฝ้าสกัดจับ เจ้าหน้าได้ออกมาจากที่ซุ่มและแสดงตนเข้าให้คนกลุ่มนั้นตกใจกระโดดหลบซ้อนอยู่กระจายอยู่ในพงป่าหญ้า เจ้าหน้าที่สามารถติดตามจับกุมได้เป็นชาวเมียนมาได้จำนวน 26 คน นอกจากนี้ยังมีสามารถจับผู้ต้องสงสัยเป็นคนไทย ทราบชื่อภายหลังคือนายสมโชค รัศมี อายุ 63 ปี อยู่บ้านเลขที่ 495 หมู่ 17 ต.รับร่อ อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร  จากการสอบถามนายปิงทัย อายุ 39 ปี ชาวเมียนมา ซึ่งสามารถสื่อสารภาษาไทยได้และเคยเข้ามาทำงานที่ประเทศไทยแล้วก่อนหน้านี้ ได้เล่าให้ฟังว่า ตนเองและชาวเมียนมาที่หลบหนีมานั้นได้รวมตัวกันที่ฝั่งพม่าก่อนเป็นเวลา 2 วัน ก่อนที่จะนั่งเรือข้ามมาฝั่งไทย โดยขั้นตอนในการเดินทางการติดต่อประสานงานเรื่องการเดินทาง จุดรับส่ง รถที่จะมารับ คนที่จะพาเดินหลบด่าน  รวมไปถึงค่าหัวของแต่ละคนนั้นจะมีคนไทยที่เป็นนายหน้า ติดต่อไปยังชาวเมียนมาที่เป็นนายหน้า เป็นผู้จัดการทั้งหมด โดยค่าใช้จ่ายของแต่ละคนนั้น จะต้องไปทำงานใช้หนี้

 การเดินทางมาจากพม่าใช้เรือ 2 ลำในการขนคนจำนวน 26 คน หลังจากนั้นเรือก็มาส่งยังจุดที่มีรถมารอรับ โดยนายปิงทัย เล่าจุดที่เรือมาส่งนั้นไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นบริเวณไหนเพราะเป็นช่วงเวลากลางคือไม่สามารถมองเห็น  โดยเมื่อเรือมาส่ง มีรถกระบะ 2 คัน เป็นรถกระบะ 4 ประตูสีดำ 1 คัน และรถกระบะยกสูง 1 คัน หลังจากที่ขึ้นรถมาใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่งก็มาถึงจุดที่ต้องเดินเท้า โดยเมื่อลงจากรถก็มีคนไทยจำนวน 3 คนมายืนรอรับ ในการเดินนั้นจะมีคนไทยเดินนำหน้า 1 คนมีไฟส่องสว่างคาดที่หัว และมีคนไทยอยู่ตรงกลาง 1 คน และปิดท้ายอีก 1 คน ลักษณะการเดินนั้นจะใช้วิธีการเดินเรียงหนึ่ง เดินตามกันเป็นแถวยาว มีเชือก 1 เส้นให้เดินจับ เพื่อป้องกันการพลัดหลงระหว่างทาง เพราะเป็นช่วงเวลากลางคืนไม่สามารถมองเห็นอะไรได้เลย รวมไปถึงไฟส่องสว่างก็มีเพียงคนนำทาง 3 คนเท่านั้น ตนเองใช้เวลาเดินทางประมาณ ชั่วโมงก็ได้พบกับเจ้าหน้าที่ที่ตั้งจุดสกัดจับระยะทางในการเดินจากจุดที่รถมาส่งจนเจอกับชุดเจ้าหน้าที่ประมาณ 1 กิโลเมตรโดยในการเดินทางข้ามมายังประเทศไทยครั้งนี้เพื่อเดินทางไปทำงานที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เพื่อทำงานก่อสร้าง และทำงานโรงงาน นายปิงทัย กล่าว่า ตนเองเคยมาทำงานที่ประเทศไทย ที่ อ.หาดใหญ่ มาแล้วก่อนหน้านี้ ประมาณ 3-4 ปี แต่ก็ได้กลับไปบวช นายปิงทัยเล่าว่าสาเหตุที่ได้อยากกลับมาทำงานที่ประเทศไทยเพราะประเทศเมียนมาเกิดสงคราม รวมไปถึงมีโรคโควิดระบาด การที่ตนเองมาทำงานที่ประเทศไทยเพียงคนเดียวนั้น สามารถที่จะเลี้ยงดูได้ทั้งครอบครัว และในการลับลอบมาให้ครั้งนี้ ได้มีนักเรียนและนักศึกษา จำนวน 14 คน ได้ร่วมเดินทางมาด้วย เพราะทุกคนต้องหาทางหางานหาเงินช่วยเหลือครอบครัว เพราะ 2 ปีมานี้สถานศึกษาในประเทศต้องปิดการเรียนการสอนจากสาเหตุภัยสงครามกลางเมืองกับสถานการณืการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด19 

 ในขณะที่นายสมโชค รัศมี อายุ 63 ปี อยู่บ้านเลขที่ 495 หมู่ 17 ต.รับร่อ อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร ให้การโดยอ้างว่า ตนไม่มีส่วนรู้เห็นใดๆกับขบวนการลักลอบขนแรงงานเถื่อนในครั้งนี้ ซึ่งขณะที่เจ้าหน้าที่เข้าจับกุมแรงงานชาวเมียนมา นั้น บังเอิญที่ตนเองกำลังเดินเท้ากลับจากไปกรีดยางพอดี และตนเองได้ยินเสียงปืนดัง ด้วยความตกใจจึงได้กระโดดหลบหมอบลงกับพื้นดิน จนมารู้อีกที่เมื่อเจ้าหน้าที่เข้ามาใกล้และเปิดไฟแสงสว่าง ตนเองก็ลุกขึ้นมา และก็เห็นว่ามีแรงงานชาวเมียนมา หลายคนก็หมอบอยู่ห่างตนเองไม่กี่เมตร  ทางเจ้าหน้าที่ยังไม่ปักใจเชื่อ จึงได้ควบคุมตัวไว้ก่อน รอผ่านการคัดกรองกักตัว 10 วัน จึงจะได้นำตัวนายสมโชค ส่งพนักงานสอบสวน สภ.ท่าแซะ ทำการสอบปากคำเพิ่มเติมต่อไป

ผู้สื่อข่ารายงานเพิ่มเติมว่า ขณะเดียวกัน เมื่อเวลาประมาณ 23.00 น. ของวันที่ 21 เม.ย.65 ทหารชุด ฉก.ร.25 กกล.เทพสตรี  นำกำลังเข้าซุ่มเฝ้าตรวจขบวนการขนแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย บริเวณพื้นที่รอยต่อระหว่าง บ้านทรายขาว ม.7 ต.วังใหม่ อ.เมือง จ.ชุมพร กับ บ้านปลายคลองวัน ม.5 ต.มะมุ อ.กระบุรี จ.ระนอง จนกระทั่งเวลา 02.35 น. ของวันที่ 22 เม.ย.65 จนท.สังเกตเห็นไฟดวงเล็กๆจำนวนหนึ่ง ลักษณะเคลื่อนไหว จึงทำการซุ่ม พบชาวเมียนมา ใช้ไฟแสงสว่างจากโทรศัพท์มือถือของตนเอง ส่องดูเส้นทางเดินขึ้นเขา เมื่อ จนท.เห็นชัดว่าเป็นบุคคลจำนวนหนึ่ง จนท.จึงแสดงตัวจับกุม พบว่าเป็น ชาวเมียนมา จำนวน 7 คนเป็นชาย 5 คน หญิง 2 คน  จากการสอบถาม ชาวเมียนมา ทราบว่า ได้เดินทางมาจากจังหวัดต่างๆในประเทศเมียนมา และเมื่อวันที่ 20 เม.ย.65 เวลาประมาณ 13.00 น. เดินทางด้วยรถตู้โดยสารมาพักอยู่ที่หมู่บ้านเอชันตะ อ.เขม่าจี จ.เกาะสอง เมื่อเวลาประมาณ 01.00 น. ของวันที่ 22 เม.ย.65 ได้นั่งเรือหางยาว จำนวน 1 ลำ ใช้เวลาประมาณ 15 นาที มาขึ้นที่ฝั่งประเทศไทย บริเวณช่องทางธรรมชาติลักษณะเป็นสวนปาล์มน้ำมัน   จากนั้นเดินเท้าใช้เวลาประมาณ 5 นาที มาขึ้นรถบริเวณริมถนนเพชรเกษมโดยมีชายชาวเมียนมา  ขับรถ จยย.มารอรับ จำนวน 3 คัน ใช้เวลานั่งซ้อนท้าย รถ จยย.ใช้เวลา ประมาณ 20 นาที มาถึงสวนยาง แล้วได้เดินนำทางขึ้นมายังชายป่า ก่อนบอกให้ทั้งหมดเดินไปตามเส้นทางที่เป็นร่องรอยเท้า จนมาถึงถนน แต่ยังไม่ทันที่จะมีรถมารับ ก็ถูกจับกุมเสียก่อน โดยทุกคนเสียค่าเดินทางเป็นเงินคนละ 22,000 บาท    จากนั้นดำเนินการตามมาตรการป้องกันโรคโควิด-19โดยการพ่นแอลกอฮอล์ล้างมือให้กับชาวเมียนมาและควบคุมส่ง สภ.ปากจั่นเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

https://youtu.be/tXu341nOvxM

ภาพ-ข่าว ประสิทธิ์ ลีฬหคุณากร / ชุมพร