ลำปาง 9 เดือน คดียังไม่คืบหน้า คดีพ่อ เป็นเสาหลักถูกเก๋งชนดับ ซ้ำแม่ตาบอดสนิททั้งสองข้าง วอนหน่วยงานราชการเร่งช่วยเหลือ

1

ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจากสองแม่ลูก ที่รอความหวังเงินเยียวยาที่จะได้จาก พรบ.รถยนต์ ที่ชนพ่อ ซึ่งเป็นเสาหลักของครอบครัว เสียชีวิต ตั้งแต่วันที่29 กันยายน 2565 เป็นเงินตามกฎหมายจำนวนห้าแสนบาท จนถึงวันนี้คดียังไม่มีความคืบหน้า ซึ่งทาง ร.ต.อ.ณัฐนันท์ คำสาร พนักงานสอบสวน สภ.เขลางค์ฯคร เจ้าของคดียังไม่ได้ส่งเรื่องไปยังอัยการจังหวัด เพื่อตรวจสำนวน ในการส่งฟ้องต่อศาลจังหวัดลำปาง โดยนายเอกสิทธ์ มานะรุ่งโรจน์ หรือทนายโจ้ ได้ช่วยเหลืออาสาเข้ามาเป็นทนายความให้กับสองแม่ลูก

นางสาวประวีณา ทิพย์มาบุตร อายุ43ปี บ้านเลขที่303 หมู่ที่2 บ้านเหล่าบุญเกิด ต.พระบาท อ.เมือง จ.ลำปาง ซึ่งเป็นภรรยาของนายวีระ อ่ำน้อย อายุ44ปี หรือช่างต่าย เป็นช่างรับจ้างซ่อมรถยนต์  เล่าว่า ตนเองตาบอดสนิททั้งสองข้าง เมื่อประมาณ10ปี ที่ผ่านมา แต่ยังพอเดินไปมาได้ในบริเวณบ้าน เนื่องจากเคยชิน โดยยังต้องใช้ไม้เท้านำทาง ที่ทาง รพ.ลำปางให้มา ทุกวันไม่มีอาชีพหรือรายได้อย่างอื่นนอกจากเบี้ยคนพิการ จำนวน800บาท เท่านั้น หลังจากสามีซึ่งเป็นเสาหลักมาเกิดอุบัติเสียชีวิต ทำให้ครอบครัวต้องอยู่อย่างลำบาก มีค่าใช้จ่ายในครอบครัว ลูกสาวคนเดียว อายุ17ปี ที่กำลังเรียนหนังสือระดับชั้น ปวช.ปีที่3 จำเป็นต้องใช้เงิน แต่ก็จะมีน้องสาว และญาติๆ พอจะช่วยเหลือบ้าง แต่ก็ไม่เพียงพอสำหรับให้เงินลูกไปเรียนหนังสือ ไหนจะค่าเทอมอีก ยอมรับว่าชีวิตลำบากมาก หลังจากเสียสามีไป ที่เป็นเสาหลักของครอบครัว.

นางสาวปณิชา ทิพย์มาบุตร หรือน้องน้ำหวาน อายุ17ปี ซึ่งกำลังศึกษาระดับชั้น ปวช.3 ของมหาวิทยาลัยอาชีวศึกษาลำปาง เปิดเผยด้วยน้ำตาคลอเบ้า ว่า พ่อซึ่งเลี้ยงตนเองมาตั้งแต่เด็ก เป็นเสาหลักของครอบครัว ส่วนแม่ตาบอดสนิททั้งสองข้าง ไม่สามารถที่จะรับจ้างหาเงินมาดูแลใช้จ่ายในครอบครัวได้ ขณะนี้ตนเองกำลังศึกษา จึงขอวิงวอนฝากถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ช่วยเหลือ เนื่องจากขณะนี้ไม่มีเงินที่จะไปจ่ายค่าเทอม เงินใช้จ่ายในครอบครัว ก็ไม่เพียงพอ แต่จะมีน้าซึ่งเป็นน้องของแม่ ได้ช่วยเหลือส่งเงินมาให้ แต่เขาก็มีครอบครัวเช่นกัน ตั้งแต่วันที่เกิดเหตุรถยนต์ชนพ่อจนเสียชีวิต จนถึงวันนี้ ก็ยังเสียใจ ยังทำใจไม่ได้.

นายเอกสิทธิ์ มานะรุ่งโรจน์ หรือทนายโจ้ ได้รับมอบอำนาจ จากนางสาวประวีณา ทิพย์มาบุตร ภรรยาของนายวีระ อ่ำน้อย หรือช่างต่าย ได้เปิดเผยว่า ในทางกฎหมายถือว่าทั้งสองคนเป็นผู้เสียหาย เนื่องจากว่าเป็นภรรยาและลูกสาว หลังจากเกิดเหตุนายวีระ ได้ซ้อน จยย.แล้วถูกรถยนต์เก๋งชนจนทั้งสองคนเสียชีวิต ตั้งแต่เดือนกันยายน 2565 ที่ผ่านมา ในฐานะทนายความ ได้พยายามติดตามเร่งรัดคดีกับ พนักงานสอบสวนเจ้าของคดี ที่ สภ.เขลางค์นคร มาแล้ว2ครั้ง ขณะนี้คดียังไม่มีความคืบหน้า ทางพนักงานสอบสวน ยังไม่ได้ส่งเรื่องไปถึงชั้นอัยการจังหวัด ถ้าเรื่องเข้าสู่ในชั้นศาลแล้ว ทางทนายก็จะยื่นเรื่องของเป็นโจทน์ร่วมด้วย ซึ่งทางสองแม่ลูก ยังมีความกังวลใจเป็นอย่างมาก ในการติดตามเงินที่จะได้ตามกฎหมาย จาก พรบ.รถยนต์ จากการตรวจสอบพบว่า รถยนต์เก๋ง คันที่ชน มี พรบ.รถยนต์ถูกต้อง แต่ทางบริษัทประกันภัยยังไม่ได้จ่ายเงินให้แต่อย่างใด ตามกฎหมายแล้วในกรณีที่คนตายเป็นฝ่ายถูกจะต้องได้เงินค่าชดเชยเป็นจำนวนห้าแสนบาท ซึ่งนายวีระ เป็นคนซ้อนท้ายรถจยย. ส่วนคนที่จะประมาท หรือไม่ประมาทนั้น คือคนขับรถจยย. ตามกฎหมายจะได้เงินจาก พรบ.จำนวนสามหมื่นห้าพันบาทในความคืบหน้าของคดีดังกล่าว ที่ใช้เวลานานตั้งแต่เดือนกันยายน ปี2565 จนถึงปัจจุบัน รวมเข้าเดือนที่9แล้ว ทำให้ครอบครัวของผู้เสียชีวิต ต้องลำบาก เนื่องจากเสียเสาหลัก ภรรยายังตาบอดสนิททั้งสองข้างอีก ลูกสาวคนเดียวที่จำเป็นต้องใช้เงินในการจ่ายค่าเทอม ค่าใช้จ่ายในครอบครัว ทนายโจ้ ได้โทรศัพท์สอบถามไปยัง พ.ต.อ.ณัฐญ์วสุภ์ แสงณิรัฒศัย ผกก.สภ.เขลางค์นคร ก็ได้รับคำตอบว่า ในสัปดาห์หน้า จะส่งสำนวนคดีดังกล่าว ไปยังอัยการจังหวัดลำปาง แน่นอน.

ภาพ-ข่าว อัมรินทร์ วะนะวิเชียร จ.ลำปาง

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here